ออกบูธสมาคมร้านยาที่ภาคอีสาน จังหวัดอุบลราชธานี

PHOTO GALLERY

ข่าวสารและบทความ

โรคภัยที่มากับหน้าร้อน

เข้าหน้าร้อนเมืองไทยเข้ามาทุกที่ หลายคนท่านคงจะคิดถึงทะเล หรือสถานที่เที่ยวเย็นๆสบาย แต่อย่าฉล่าใจไปเพราะว่าช่วงหน้าร้อนนี้เป็นช่วงที่เชื้อโรคเติบโตได้ดี โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย เพราะฉะนั้นเราจึงควรระมัดระวังเชื้อโรคที่มากับหน้าร้อนเหล่านี้ด้วย เราจะพาไปดูกันว่ามีโรคอะไรบ้างที่ควรระวังช่วงหน้าร้อนนี้กัน

1.โรคอุจาระล่วงเฉียบพลัน

โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่มีเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส โปโตซัว พยาธิ ทำให้มีการถ่ายอุจจาระเหลว ถ่ายเป็นมูกเลือด โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันเป็นโรคที่พบบ่อยโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีสุขอนามัยไม่ดีหรือเรียกว่าไม่สะอาดนั่นเอง ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะถ่ายอุจจาระเหลวหรือถ่ายอุจจาระเป็นน้ำผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรงและมักหายได้เอง ส่วนใหญ่แล้วจะพบในช่วงหน้าร้อนเพราะอากาศร้อนจะทำให้อาหารและน้ำดื่มเสียง่ายและทำให้เกิดเชื้อแบคทีเรีย ที่เป็นต้นเหตุของโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันนั่นเอง

2.โรคอาหารเป็นพิษ

ติดต่อโดยการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ มักพบในอาหารปรุงสุกๆ ดิบๆ ซึ่งมีอยู่ทั้งในเนื้อสัตว์ ไข่ รวมทั้งอาหารกระป๋อง อาหารทะเล นมที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ หรืออาหารที่ปรุงทิ้งไว้เป็นเวลานาน ซึ่งคนที่ได้รับเชื้อเข้าไปมักมีไข้ ปวดท้อง ซึ่งเชื้อที่ได้รับสามารถทำให้เกิดการอักเสบที่กระเพาะอาหารและลำไส้ได้ จึงทำให้มีอาการปวดท้อง ปวดเมื่อย คลื่นไส้อาเจียน อุจจาระร่วงด้วย หรือการติดเชื้อจากอวัยวะอื่น เช่น ข้อกระดูก ถุงน้ำดี หัวใจ ปอด ไต เยื่อหุ้มสมอง ไปจนถึงโลหิตเป็นพิษ ซึ่งหากเกิดในทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ จะมีโอกาสทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยหล่ะค่ะ

3.โรคบิด

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรืออะมีบา ซึ่งสามารถติดต่อได้ผ่านการรับประทานอาหาร ผักดิบ รวมถึงน้ำดื่มที่มีการปนเปื้อนเชื้อโรคด้วยนะคะ หากติดเชื้อก็มักจะมีไข้ ปวดท้องแบบปวดเบ่ง ถ่ายอุจจาระบ่อย และอาจทำให้อุจจาระมีมูกหรือมูกปนเลือดได้อีกด้วย

4.อหิวาตกฤโรค

เกิดจากเชื้ออหิวาตกโรค ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่ติดต่อจากอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ ซึ่งหากติดเชื้อโรคนี้จะทำให้เราถ่ายอุจจาระเป็นน้ำคราวละมากๆ โดยไม่มีอาการปวดท้อง และมีอาการขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรวดเร็ว เช่น กระหายน้ำ อ่อนเพลีย ปัสสาวะน้อย ชีพจรเต้นเร็ว ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะช็อก หมดสติจากการเสียน้ำ และในบางรายที่มีอาการรุนแรงมากๆ อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่นกันค่ะ

5.โรคไข้ไทฟอยด์ หรือ ไข้ลากสดาน้อย

อีกหนึ่งโรคที่สามารถติดต่อจากอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเช่นกัน ซึ่งเจ้าโรคไข้ไทฟอยด์นี้จะทำให้ผู้ป่วยมีไข้ ปวดหัว ปวดเมื่อย เบื่ออาหาร และอาจท้องผูกหรือท้องเสียได้ นอกจากนี้เชื้อปนก็อาจปนออกมากับอุจจาระและปัสสาวะเป็นครั้งคราวได้ด้วย ทำให้เราเป็นพาหะนำโรคได้นั่นเองค่ะ

ดูแลกระดูกอย่างไรให้แข็งแรง

กระดูกเป็นแกนของร่างกาย มีความสำคัญต่อการพยุงอวัยวะต่างๆ รวมถึงท่าทางการยืน การเดิน และการทรงตัว โครงสร้างกระดูกที่แข็งแรงเกิดจากการทำงานของเซลล์กระดูกที่สมดุล คือมีกระบวนการสลายกระดูกเก่าที่อ่อนแอ และสร้างกระดูกใหม่ที่แข็งแรง และรับแรงกระแทกได้ดี แต่เมื่ออายุขึ้นเลข 3 กระบวนการดังกล่าวเริ่มเสียสมดุล การสร้างกระดูกใหม่ลดลง ทำให้กระดูกบาง  และมีความสามารถในการรับน้ำหนักตัวลดลง เสี่ยงต่อการแตกหักของกระดูกในระยะยาว ภาวะดังกล่าวเรียกว่า “โรคกระดูกพรุน”

ดูแลกระดูกอย่างไรให้แข็งแรง

1.เสริมแคลเซียม แคลเซียมเป็นแร่ธาตุหลักของโครงสร้างกระดูก เราทุกคนจำเป็นต้องได้รับแร่ธาตุแคลเซียมวันละ 800-1,200 มก. ต่อวัน ผู้ที่ต้องการบำรุงกระดูกควรเน้นการบริโภคอาหารประเภทผักใบเขียว นม โยเกิร์ต ถั่ว และงาหรือเลือกรับประทานจากผลิตภัณฑ์แคลเซียมเสริมอาหาร ที่ให้แคลเซียมอิสระสูง 600 มก. ต่อเม็ด

2.การออกกำลังกาย เป้นการกระตุ้นการทำงานของเซลล์กระดูกให้ทำงานได้ดี ซึ่งจะให้ผลดีแตกต่างกันไปในแต่ละวัย

เตรียมตัวให้พร้อมเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ

จะเตรียมความพร้อมอย่างไร? เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ

เมื่อมีอายุมากขึ้นร่างกายย่อมเสื่อมสภาพลงไปตามวัย การดูแลสุขภาพร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญ การดูแลสุขภาพ ได้แก่
• รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสม
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
• ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
• ตรวจร่างกายประจำปีสำหรับผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรตรวจร่างกายอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี
• ลดหรืองดการดื่มสุรา การสูบบุหรี่

นอกจากการดูแลสุขภาพโดยทั่วไปแล้ว การกินอาหารเสริมสำหรับผู้สูงวัยก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เนื่องจากผู้สูงอายุบางรายอาจรับประทานอาหารได้น้อยลงจนทำให้ได้สารอาหารไม่ครบถ้วน การกินอาหารเสริมจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งได้ (ควรปรึกษาแพทย์เพิ่มเติม)

เรื่องอารมณ์และจิตใจ
การฝึกจิตใจให้สงบ เบิกบาน มีสติอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้อย่างเข้มแข็ง เรียนรู้การบริหารความเครียด การให้ การปล่อยวาง และการรักผู้อื่นพร้อม ๆ กับการรักตัวเอง จะทำให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและห่างไกลจากโรคต่าง ๆ โรคทางด้านจิตใจที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ เช่น ภาวะซึมเศร้า ซึ่งต้องคอยติดตามป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเหล่านี้